วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปะวัติ หลวงปู่เพชร วัดอัมพวัน (สุราษฎร์ธานี)



         "พระครูวิบูลย์ธรรมสาร" (หลวงปู่เพชร วชิโร) ท่านถือกำเนิดเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๐ ที่บ้านมะเดื่อหวาน หัวเมืองพงัน (ขึ้น) เมืองไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โยมบิดาชื่อ นายยวน โยมมารดาชื่อ นางจันทร์  เครือญาติของท่านใช้ชื่อสกุลว่า "พรหมสนิท" หลวงปู่เพชรเป็นบุตรคนสุดท้อง มีพี่ชายร่วมบิดา-มารดาเพียงคนเดียวชื่อ พร

        ครั้นเมื่ออายุครบ ๑๔ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๐๔) โยมบิดาได้พาท่านไปฝาก ให้เรียนอักขระวิธี กับ (ท่านอุปัชฌาย์จันทร์) เจ้าอธิการวัดมะเดื่อหวาน อยู่ศึกษาเล่าเรียนกระทั่งอายุ ๑๘ ปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่ วัดมะเดื่อหวาน โดยมี พ่อท่านจันทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านก็ได้อยู่วัดเรื่อยมา

         ครั้นเมื่ออายุครบบวช ท่านก็ได้อุปสมบท  เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๐ ณ พัทธสีมา วัดมะเดื่อหวาน (พระอุปัชฌาย์จันทร์) เจ้าอาวาสวัดมะเดื่อหวาน เป็นพระอุปัชฌาย์ (พระอธิการขวัญ) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์  ได้รับนามฉายาว่า "วชิโร" หลังจากบวชแล้ว หลวงปู่เพชร ท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย กับ พระอุปัชฌาย์ท่าน
และศึกษาตำราท่องบทสวดมนต์เรื่อยมา ครั้นเมื่อออกพรรษา ท่านก็ได้ออกธุดงค์ ปีกวิเวกบ้าง เพื่อแสวงหาโมคธรรม

         จากประวัติท่าน หลวงปู่เพชร ท่านได้ไปศึกษาวิชาเพิ่มเติมจากท่านใดบ้าง ไม่ทราบชัดเจน ที่พอสืบทราบมาได้บ้าง ก็ได้จากคนพื้นที่เก่าแก่ ว่าท่านได้เป็นศิษย์ อาทิ  (พ่อท่านจันทร์ วัดมะเดื่อหวาน), (พ่อท่านหมื่น วัดโพธิ์), (พ่อท่านขวัญ วัดใน) ทั้งสามท่านนี้ ในอดีตเป็นพระอาจารย์ ที่เข้มขลังมากของเมืองเกาะพงัน

         สำหรับเหรียญหลวงปู่เพชร วัดอัมพวัน รุ่นแรกนั้น นับเป็นเหรียญพระสงฆ์เหรียญแรก ของภาคใต้ สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๖๘  ลักษณะเหรียญเป็นรูปเสมา ด้านหน้าเป็นรูป หลวงปู่เพชร ห่มจีวรเฉวียงบ่า พาดสังฆาฏิ นั่งสมาธิบนตั่ง ล้อมด้วยลายไทย เป็นรูปพญานาคขนดเศียรลงล่างทั้งสองข้าง ด้านบนของเหรียญเขียนว่า “ที่รฦก” มีอักษรล้อมรอบรูปท่านว่า “ท่านพระครูวิบูลย์ธรรมสาร (เพ็ชร) วัดอัมภวัน” ด้านหลังเหรียญเป็น “ยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้า” ด้านเหนือยันต์เขียนว่า “เกาะพงัน” มีเนื้อทองแดงและเนื้อทองแดงกะไหล่ทอง

          เหรียญหลวงปู่เพชร รุ่นแรกนี้สร้างขึ้นภายหลังจากที่หลวงปู่ท่านมรณภาพแล้ว คือ สร้างแจกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เพชร เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๔๖๘ ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถวัดอัมพวัน เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน โดยคณาจารย์ต่างๆละแวกไชยา บ้านดอน เกาะสมุย และเกาะพงัน ที่ หลวงพ่ออ่ำ ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ได้นิมนต์มา

         ปัจจุบัน เหรียญหลวงปู่เพชร ยังได้ความนิยมสะสมกันอย่างกว้างขวาง ถือว่าเป็น เหรียญพระเกจิอาจารย์เหรียญแรกของภาคใต้ ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด เป็นเหรียญที่หายาก เพราะสร้างน้อยมาก และที่สำคัญสุดคือ เป็นเหรียญที่สนนราคาเช่าหาที่สูงมาก ของบรรดาเหรียญพระเกจิอาจารย์สายใต้ เอาที่ว่าเหรียญสภาพพอสวย ราคาเช่าหาในทุกวันนี้ต้องมี ๓ ล้านบาทขึ้นไป  ปัจจุบันพบเจอน้อยมาก เพราะผู้ที่มีอยู่ในครอบครองต่างก็หวงแหนกันทุกคน

หลวงปู่เพชร ท่านถึงแก่มรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๗ สิริอายุรวม ๗๗ ปี ๕๗ พรรษา


ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ

ประวัติ หลวงพ่อโชติ วัดตะโน (กรุงเทพฯ)




        (หลวงพ่อโชติ วัดตะโน) ท่านถือกำเนิดเมื่อเดือน เมษายน ปี พ.ศ.๒๔๑๗ โยมบิดาชื่อ นายคง โยมมารดาชื่อ นางแสง หลวงพ่อโชติในวัยหนุ่ม ท่านมีนิสัยเป็นนักเลง ไม่เคยยอมใครง่ายๆ เลยเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า นักเลงสมัยก่อนนั้น ต้องมีวิชาดีไม่อย่างนั้นเป็นนักเลงไม่ได้  ครั้นเมื่อถึงปี พ.ศ.๒๔๕๑ ในขณะนั้น ท่านมีอายุ ๓๔ ปี เกิดเบื่อหน่ายทางโลก ก็ได้อุปสมบท ณ อุโบสถวัดกระทุ่ม (ไม่ทราบนามพระอุปัชฌาย์) และได้ศึกษาตำหรับตำราหลายแขนง อีกทั้งเมื่อออกพรรษา ก็ได้ธุดงค์ เพื่อหาโมคธรรม

        หลวงพ่อโชติ ท่านยังเป็นพระร่วมสมัยกับ (หลวงปูโต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี) แต่หลวงพ่อโชติท่านแก่พรรษากว่าหลวงปู่โต๊ะ สมัยที่หลวงพ่อโชติ มาอยู่วัดตะโนแล้วนั้น หลวงปู่โต๊ะ ท่านมักไปมาหาสู่กันเป็นประจำ โดยหลวงปูโต๊ะ ท่านนับถือหลวงพ่อโชติ มาก อีกทั้งหลวงปู่โต๊ะ ยังได้ร่ำเรียนวิชา ทำผงพุทธคุณกับหลวงพ่อโชติอีกด้วย

        หลวงพ่อโชติ วัดตะโน ท่านเป็นเกจิอาจารย์อีกหนึ่งท่านที่ทรงวิยาคมเข้มขลัง ในสมัยนั้น ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้แจกแก่ชาวบ้านหลายอย่างด้วยกัน เช่น ตะกรุด พระเนื้อผง  แต่ที่ขึ้นชื่อลือชาและเป็นที่เสาะแสวงหาในหมู่ลูกศิษย์ ก็มี เชือกคาด ทั้งนี้ท่านก็ยังได้สร้าง เหรียญรุ่นแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๗ เป็นเหรียญรูปไข่ รูปเหมือนครึ่งองค์ ด้านหน้าระบุชื่อ หลวงพ่อโชติ และชื่อวัดตะโน ด้านหลังเป็นอักขระยันต์
นอกจากนี้ยังมี เหรียญรุ่นสองสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นเหรียญเสมา รูปเหมือนเต็มองค์ ระบุชื่อ หลวงพ่อโชติ และชื่อวัดตะโน ด้านหลังเป็นยันต์ และระบุปี พ.ศ.๒๕๐๐

        สำหรับเชือกคาด หลวงพ่อโชติ วัดตะโน นั้น ท่านมีกรรมวิธีการทำ คือ
ท่านจะนำเอาผ้าห่อศพ ที่ตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร กล่าวกันว่า เวลาเอาผ้าต้องใช้ปากคาบดึงมาจากศพ เมื่อได้มาแล้วจึงนำผ้ามาซักน้ำฝนกลางหาว แล้วนำผ้ามาฉีกเป็นริ้วๆ แล้วลงอักขระเลขยันต์ จนครบสูตร และทำการฝั้นเชือก แล้วถักขึ้นหัว จนถึงห่วง เป็นลายกระดูกงู ระหว่างถักนั้นหลวงพ่อโชติ จะบริกรรมคาถากำกับด้วย และเมื่อเสร็จแล้วท่านจะทำการปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง ตามประวัติที่ว่า ถึงขนาดปลุกเสกจนหัวเชือกเข้าไปในห่วงเองได้ หรือเชือกสามารถเคลือนไหวไปมาได้ บางครั้งนำเชือกไปใส่ในกองไฟ ถ้าไม่ไหม้ไฟถือว่าใช้ได้ เสร็จแล้วท่านจึงมอบให้แก่บรรดาลูกศิษย์ ไว้เพื่อป้องกันตัวเองในยามคับขัน

         อิทธิคุณของเชือกคาดเอวของท่านนั้น เด่นในด้านแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ป้องกันภูตผีปีศาจ กันงูเงี้ยวเขี้ยวขอและอสรพิษร้ายต่างได้วิเศษนัก ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่าถ้านำเชือกคาดเอวของท่านไปคล้องกับงู งูจะอ่อนแรงลง จนเลื้อยหนีไปไหนไม่ได้ บางท่านเล่าว่านำหัวเชือกคาดเอวของท่าน มาใส่ในห่วงทำเป็นวงกลม แล้วนำไปครอบใส่ตะขาบ ตัวตะขาบนั้น จะไม่สามารถข้ามวงเชือกคาดเอวของท่านออกมาได้ จะเดินวนอยู่ในวงเชือกนั้น

         ยังมีเรื่องเล่าและประสบการณ์อีกมากมายที่ ลูกศิษย์ลูกหาของท่านเล่าให้ฟัง แต่ที่ห้ามนักห้ามหนาเป็นเสียงเดียวกันก็คือ ห้ามเอาเชือกคาดเอวของท่านไปตีไปทำร้าย หรือเคาะหัวคนอื่น เพราะจะทำให้คนๆนั้นเสียสติและเป็นคนวิกลจริต ที่สำคัญรักษาให้หายยาก  ค่าครูของหลวงพ่อโชติ วัดตะโน ได้แก่ ดอกไม้ธูป เทียน บุหรี่ ไม้ขีดหนึ่งกล่อง หมากพลูสามคำ ค่าครู ๑ สลึง

         เชือกคาด มีหลายสำนักทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่ของ หลวงพ่อโชติ วัดตะโน ท่านจะถักเป็น ลายจระเข้ขบฟัน หัวเป็นตะกร้อ หางเชือกเป็นบ่วงแน่นหนา มีทั้งผ้าขาว และผ้าเหลือง สมัยก่อน มีผู้คนจำนวนมากนิยมไปหา หลวงพ่อโชติ วัดตะโน เพื่อขอเชือกคาดจากท่าน ต่อมาท่านเกิดตาบอดตอนชราภาพ ก็เพราะว่า การทำเชือกคาดนั้น ต้องเสียค่ายกครูหนึ่งสลึง (สมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เงินเฟื้องเงินสลึง หรือ ๒๕ สตางค์ ถือว่าไม่ใช่เงินน้อยๆ) บังเอิญมีหนุ่มชาวสวนคนหนึ่ง อยากได้เชือกคาด แต่ไม่มีสตางค์ จึงไปกราบเท้าอ้อนวอนขอให้ท่านช่วยทำเชือกคาดให้ ปรากฎว่าท่านใจอ่อน ก็เลยทำให้ฟรี ไม่เรียกค่ายกครู เท่านั้นแหละ ครูของหลวงพ่อ มาบอกว่า เอ็งจะต้องตาบอดแน่ๆ และท่านก็ตาบอดจริงๆ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐ มาถึง พ.ศ.๒๕๐๐ สิบปีเต็มๆ ที่หลวงพ่อต้องให้ศิษย์ถักเชือกแล้วเอามาให้ท่านปลุกเสก

        เชือกคาดเอว ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีหลายสำนักด้วยกัน ซึ่งเป็นการสืบทอดวิชามาจากโบราณคณาจารย์ยุคเก่าอย่างไม่ขาดสาย อาทิ เชือกคาดไส้หนุมาน หวายคาดเอว  หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว
หวายคาดเอว หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
เชือกคาดเอว หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ
เชือกคาดเอว หลวงพ่อโชติ วัดตะโน
เชือกคาดเอว หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว (ลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว)
เชือกคาดเอว หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง (ลูกศิษย์หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ)
เชือกคาดเอว พ่อท่านเขียว วัดหรงบน
เชือกขมวดหนุมาน หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค
เชือก ๗ ขอดไปได้กลับได้ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
เชือกคาดเอว หลวงพ่อหลิว วัดสนามแย้
เชือกขอด หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ
เชือกคาดตะกรุด ภุชงค์เบญจฤทธิ์ หลวงพ่อเฮ็น วัดดอนทอง
เชือกคาดเอว หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม ฯลฯ

หลวงพ่อโชติ ท่านถึงแก่มรณภาพลงเมื่อ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๑ สิริอายุ ๘๔ ปี ๕๐ พรรษา


ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

ประวัติ หลวงปู่แตง วัดอ่างศิลา (ชลบุรี)




          (หลวงปู่แตง ธมฺมโชโต) ท่านถือกำเนิดเมื่อ ปี พ.ศ.๒๓๔๒  ในสมัย (รัชกาลที่๑)  ที่บ้าน ต.อ่างศิลา อ.เมือง จ.ชลบุรี ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒ ในจำนวนพี่น้อง ๓ คน โดย โยมบิดาชื่อ นายบุญ โยมมารดาชื่อ นางมี (ไม่ทราบนามสกุล)

          ในวัยเด็กท่านเป็นเด็กฉลาด ว่านอนสอนง่าย เมื่อถึงวัยเรียนก็ศึกษามูลกัจจาย และหนังสือขอมกับบิดา สามารถอ่านออกเขียนได้ ทั้งภาษาไทยและภาษาขอม ถึงปี พ.ศ.๒๓๖๒ เมื่อท่านอายุครบ ๒๐ ปี  บิดาของท่านจึงจัดให้ท่านอุปสมบท ณ (วัดอ่างศิลา) (ไม่ทราบนามพระอุปัชฌาย์) ได้รับฉายาว่า "ธมฺมโชโต"

          เมื่ออุปสมบทแล้ว ก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉาน ท่านศึกษาคัมภีร์ทำผงวิเศษทั้ง ๕ คัมภีร์อักขระยันต์ ๑๐๘ และพระเวทย์วิทยาคมต่างๆ คัมภีร์โหราศาสตร์ ตำรายารักษาโรคจนชำนาญ เมื่ออกพรรษาก็จะนำพระภิกษุที่วัดออกธุดงค์ ไปยังป่าเขาลำเนาไพร แสดงหาแหล่งพำนักอันสงบ พบชาวบ้านเจ็บป่วยก็ช่วยรักษา

 
          ประวัติของหลวงปู่แตง ได้มาจากหลักฐานตามประวัติของ (หลวงพ่อปาน) เมื่อหลวงพ่อปานอายุครบบวชจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่ (วัดอรุณราชวราราม)  โดยมีท่าน (เจ้าคุณศรีศากยมุนี) เป็นพระอุปัชฌาย์  ท่านศึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐาน รวมถึงไสยศาสตร์ ท่านได้รับการถ่ายทอดจากคณาจารย์หลายองค์จนเชี่ยวชาญ
ภายหลังได้ย้ายมาจำพรรษาที่ (วัดบางเหี้ยนอก) ปัจจุบันเรียกว่า (วัดมงคลโคธาวาส) โดยมีพระที่เป็นสหายสนิทตามมาด้วยองค์หนึ่งชื่อ (หลวงพ่อเรือน)

           หลังออกพรรษาแล้ว ท่านและพระเรือนเริ่มออกธุดงค์ไปสถานที่ต่างๆ หลวงพ่อปานและหลวงพ่อเรือน ได้ดั้นด้นไปจนถึง (วัดอ่างศิลา) อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี และได้ฝากตัวเป็นสานุศิษย์ของ (หลวงปู่แตง) เจ้าอาวาสวัดอ่างศิลา โดยศึกษาด้านวิปัสนาธุระ ไสยเวทย์มนต์ต่างๆ จนเชี่ยวชาญ และสร้างชื่อเสียง ให้หลวงพ่อปาน เป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะ  "เขี้ยวซึ่งแกะเป็นรูปเสือนั่ง" เมื่อมีความเชี่ยวชาญแล้วจึงได้อำลาพระอาจารย์  (หลวงปู่แตง) มาพำนักอยู่ที่วัดบ้านเกิดตนเอง พร้อมด้วยพระอาจารย์เรือน  ที่  (วัดบางเหี้ย) (ปัจจุบันคือวัดมงคลโคธาวาส) และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส โดยมีหลวงพ่อเรือนเป็นรองเจ้าอาวาส ซึ่งทั้งสองรูปได้ปกครองพระลูกวัดทั้งด้านการศึกษา และการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดมาตลอด

          ระหว่างที่หลวงพ่อปานและหลวงพ่อเรือนได้ธุดงค์ไปสมัยนั้นยังมีพระอาจารย์ อีกท่านหนึ่งที่ดั้นด้นไปเรียนที่ (วัดอ่างศิลา) คือ (หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง) จังหวัดระยอง (ซึ่งได้พบกันในระหว่างธุดงค์) ได้ชวนกันไปเรียนวิทยาคมการปลุกเสกเสือ จาก (หลวงปู่แตง วัดอ่างศิลา) เป็นปรมาจารย์เจ้าตำหรับในการสร้างเขี้ยวเสือแกะ ที่มีฤทธิ์ และ โด่งดังมากๆท่านหนึ่ง

          พร้อมกันขณะที่เรียนอยู่นั้น เมื่อเรียนจนถึงขั้น ก็ต้องมีการทดลองพิสูจน์ดู โดยเอาเสือใส่บาตร ให้เอาไม้พาดไว้ ปลุกเสกจนเสือออกมาจากบาตร หายเข้าป่าไป ถ้าใครภาวนาเรียกเสือกลับมาได้ก็จะให้เรียนต่อไป ถ้าเรียกกลับมาไม่ได้ ก็ไม่ให้เรียน (หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย) ปลุกเสกเสือออกจากบาตรเข้าป่าไปได้ และเรียกกลับมาได้ ส่วน (หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง) ปลุกเสกเสือออกมาได้เข้าป่าไปเช่นกัน แต่เรียกเท่าไรๆ ก็ไม่กลับ ก็เป็นอันว่าหลวงพ่อปานเรียนต่อจนสำเร็จองค์เดียว หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง จึงต้องพักจากการเรียนเสือ (เหตุเพราะตบะทางมหาอำนาจยังไม่เกร่ง แต่ท่านโดดเด่นทางเมตตา)

           ต่อมา หลวงปู่แตง ท่านจึงให้หันมาเรียน สร้าง และปลุกเสกแพะ จนสำเร็จ เมื่อได้วิทยาคมนี้ ต่อมา (หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง) ก็ได้เป็นอาจารย์ของ (หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก) จังหวัดระยอง หลวงพ่ออ่ำนี้ มีชื่อเสียงมากในการสร้างแพะ จนได้สมญาว่า  "หลวงพ่ออ่ำแพะดัง"  และ (หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง) นี้ ก็ยังเป็นอาจารย์ของ (หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่) จังหวัดระยอง ผู้โด่งดังมาก ในปัจจุบันนี้เช่นกัน

           ส่วน (หลวงพ่อเรือน) พระที่เป็นสหายสนิทของ (หลวงพ่อปาน) ในครั้งที่ออกธุดงธ์ไปด้วยนั้น ก็ได้มีสวนรู้เห็นและได้เรียนวิชากับหลวงปู่แตงด้วย แต่ก็เรียนแค่เพียงน้อยนิด ไม่ถึงกับจบ อาจเพราะเกรงใจ หรือเคารพพระสหาย ที่เป็นรุ่นพี่ที่ไปด้วยอย่างหลวงพ่อปาน จึงทำให้ไม่ได้เรียนจนจบ แต่กระนั้นหลวงพ่อเรือนก็เรียนจบวิชาสร้างเสือปลุกเสกเสือจนได้ ด้วยการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อปานอีกที ดังนั้นหลวงพ่อเรือน จึงเป็นทั้งศิษย์ของ (หลวงปู่แตง) และเป็นทั้งเพื่อนและทั้งศิษย์ของ (หลวงพ่อปาน) ด้วยเช่นกัน

           หากเอ่ยนาม (วัดอ่างศิลา) คนรุ่นหลังคงรู้จักพระปิดตาหลังยันต์กระบองไขว้ ของ (เจ้าคุณศรี) ก็ไม่ผิด แต่ถ้าถามคนย่านภาคตะวันออก (วัดอ่างศิลา) นี้ดังมาตั้งแต่สมัย ก่อน (รัชกาลที่๕) เสียอีก  เพราะที่วัดนี้เป็นสำนักที่ใช้ร่ำเรียนสรรพวิชาต่างๆมากมาย มีลูกศิษย์ลูกหาที่โด่งดังมากมายมาศึกษา  อาทิ (หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย), (หลวงพ่อวัดกระบกต้นผึ้ง), (หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ) และศิษย์ฆารวาสอีกหลายคน เช่น (ตาโต เพ่งวิจารย์), (ตาบุญ หนังช้าง), (ตากัน โจรสลัดจอมขมังเวทย์) แห่งภูเขาแหลมปู่เจ้า อ.สัตหีบ

           วัตถุมงคลที่มีชื่อสุด และหายากมาก (ของแท้ๆ) คือ เขี้ยวเสือแกะ ซึ่งเป็นต้นตำหรับ เขี้ยวเสือเงินล้านของ (หลวงพ่อปาน) และยังมี ตะกรุด, หมากทุย, ผ้ายันต,์ และเชือกมงคล ล้วนแล้วแต่โด่งดังจากประสบการณ์ใช้หาของคนพื้นที่ทั่วท้องทะเลชลบุรีและพื้นที่ ใกล้เคียงต่างจังหวัดล้วนแล้วแต่รู้จักท่านทั้งสิ้น

หลวงปู่แตง ท่านถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชรา ในปี พ.ศ.๒๔๓๕ สิริอายุ ๙๓ ปี ๗๓ พรรษา


ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ

ประวัติ หลวงปู่เอี่ยม วัดโพนทอง (ลพบุรี)



         "พระครูธรรมขันธ์สุนทร" หรือ (หลวงปู่เอี่ยม อุตตโม) วัดโพนทอง ตำบลเชียงงา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี   อดีตพระภิกษุผู้ทรงวิทยาคุณแห่งลพบุรี มีลูกศิษย์มากมาย และเป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับ (หลวงปู่สี แห่งวัดเขาถ้ำบุญนาค) จ.นครสวรรค์  (หลวงปู่บุดดา แห่งวัดกลางชูศรี) จ.สิงห์บุรี  และยังเป็นอาจารย์ (ขุนพันธรักษ์ราชเดช) มือปราบขมังเวท  และ (เสือฝ้าย) ขุนโจรเมืองสุพรรณ ฯลฯ

         "พระครูธรรมขันธ์สุนทร" เป็นพระโอรสใน "กรมพระราชบวรมหาเสนานุรักษ์"(วังหลัง) มีพระนามเดิมว่า (หม่อมราชวงศ์เอี่ยม อิศรางกูร ณ อยุธยา) ประสูติเมื่อวันพุธ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง (ไม่ทราบพ.ศ.)

           เมื่อท่านฯเติบโต ต่อมากรมพระราชบวรมหาเสนานุรักษ ์(วังหลัง) บิดาท่านทิวงคตได้ไม่นาน พอดีกับพระชายาท่านเจ้าคุณเองก็ได้ถึงแก่อนิจกรรมลง ภายหลังจากที่ประสูติบุตรชาย ทำให้ท่านเจ้าคุณเกิดเบื่อหน่ายทางโลก จึงได้หันหน้าเข้าสู่พระธรรม อุปสมบท ณ.วัดบวรนิเวศวิหาร (ไม่ทราบนามพระอุปัชฌาย์) ได้ฉายาว่า "อุตตโมภิกขุ" แล้วจำพรรษาอยู่ที่ (วัดบวรนิเวศวิหาร) กรุงเทพมหานคร เรื่อยมา โดยมุ่งปฏิบัติธรรมตามกิจของสงฆ์อย่างเคร่งครัด สวดมนต์ฟังธรรม เรียนบาลี สันสกฤต และมคธ จนเชี่ยวชาญ อีกทั้งหมั่นเพียรเจริญภาวนา วิปัสสนาธุระ จนมีผู้เล่ากันว่าท่านฯ เป็นพระภิกษุสำเร็จอภิญญาชั้นสูง

          ต่อมาโยมมารดาได้ใช้คนมาส่งข่าวให้ทราบว่า บุตรชายของท่านฯ ที่กำลังหัดเดินเตาะแตะ เกิดป่วยเป็นโรคผิวหนังพุพอง ให้ท่านฯไปเยี่ยมอาการ พอท่านฯไปถึงเห็นอาการเข้า ก็ทราบด้วย  "ปุพเพนิวาสานุสติญาณ" (ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้) ว่าโรคนี้เกิดจากกรรมเก่า ที่เด็กคนนี้ไปเผาลิงตายทั้งเป็น ในอดีตชาติ คงไม่มีทางรักษาให้หายได้ จึงบอกแก่โยมมารดาว่า “เด็กคนนี้ไม่รอด” โยมมารดาได้ฟังดังนั้นก็โกรธหาว่า พ่อตาย เมียตาย แล้วหนีไปบวชก็ไม่ว่า นี่ลูกป่วยให้มาดูกับมาแช่งให้เด็กตายด้วย

           (หลวงปู่เอี่ยม) ไม่สามารถหาคำอธิบายให้โยมมารดาเข้าใจได้  จึงกลับไปวัดบวรนิเวศฯ เวลาผ่านไปไม่นาน  บุตรชายของท่านฯก็ตายจริงๆ โยมมารดาของท่าน จึงมีความเศร้าโศกเสียใจ ในที่สุดก็ตรอมใจตายไปอีกคน เป็นอันว่าภาระทั้งหลาย ที่เป็นบ่วงคล้องคอ บัดนี้ได้หลุดสิ้นไปหมดทุกอย่างแล้ว เลยเกิดมีความคิด ที่จะออกเดินธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ รวมทั้งไปนมัสการสังเวชนียสถานที่เมืองพุทธคยา ประเทศอินเดียด้วย

            คืนหนึ่งในระหว่างที่ (หลวงปู่เอี่ยม) ได้เข้าฌานสมาบัติ ก็ได้ทราบว่าพระชายาที่ล่วงลับไปนานแล้วนั้น ได้ไปเกิดใหม่ที่จังหวัดนครสวรรค์ เติบโตเป็นสาวจนแต่งงานมีสามีและบุตรชายคนหนึ่ง แต่ด้วยความผูกพันของบุตร ที่มีมาแต่ชาติปางก่อน บุตรชายที่เสียชีวิตไป ก็ได้เกิดเป็นบุตรของนางอีกครั้งหนึ่ง ท่านฯคิดอยากจะไปโปรด ให้อดีตบุตรชายของท่านฯ ได้พ้นวิบากกรรม จึงได้ธุดงค์ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดใกล้บ้านอดีตลูกเมียของท่านฯ ที่ไปเกิดใหม่ใน จ.นครสวรรค์

           วันหนึ่งหลังจากฉันเพลเสร็จเรียบร้อย มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง พาลูกชายไว้ผมจุกมาหาท่าน ท่านเจ้าคุณได้ถามไปว่า  “สีกา มีธุระอะไรหรือ”
สาวชาวบ้านคนนั้นบอกว่า “ผู้คนร่ำลือกันว่า พระเดชพระคุณท่าน ที่มาอยู่ในวัดนี้น่าเลื่อมใสศรัทธา จึงอยากพาลูกมากราบไหว้เป็นสิริมงคล”
ท่านฯได้ให้โอวาทอบรมสั่งสอนพอสมควรแก่เวลา นางก็กล่าวคำล่ำลาจะกลับบ้าน ปรากฏว่าเด็กชายผมจุกเกิดดื้อดึงไม่ยอมกลับ วิ่งเข้าไปกอดท่านฯแน่น ด้วยเกรงผู้เป็นแม่จะมาดึงตัวให้กลับ “หนูไม่กลับ หนูจะอยู่กับพ่อ พ่อของหนูอยู่นี่” เสียงแจ๋วๆของเด็กที่พูดออกไป ไม่มีใครจะรู้ความหมายดีไปกว่าท่านฯ
แม้ผู้เป็นแม่จะอ้อนวอนหรือบังคับอย่างไรเด็กคนนั้นก็ไม่ยอมกลับ จนกระทั่งท่านได้พูดตัดบทว่า

 “เอาละ เมื่อเด็กมันหาเป็นพ่อก็พ่อ อาตมาจะขออุปการะ เด็กคนนี้ไว้เอง เอาไว้ที่วัดนี้แหละ ถ้าเกิดคิดถึงก็มาหาได้ทุกเวลา บ้านอยู่ใกล้แค่นี้เอง สีกากลับไปบ้าน พาพ่อของเด็กมาตกลงกันจะเอายังไง ถ้ายอมให้เด็กอยู่กับอาตมา ก็ส่งเสียให้เล่าเรียนให้ถึงที่สุด เงินทองทรัพย์สมบัติส่วนตัวอาตมานั้นมี”

ตั้งแต่ (หลวงปู่เอี่ยม) ได้รับมรดกจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นถนิมพิมพาภรณ์เครื่องถ้วยเบญจรงค์ต่างๆ ตลอดจนอัญมณีล้ำค่า ตั้งใจจะมอบให้เป็นสมบัติของเด็กคนนี้ตอนโตขึ้น เพราะไม่อยากยึดติด กับสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป

          หลังจากเด็กคนนั้นมาอยู่ที่วัด จนแม่ผู้บังเกิดเกล้าไม่ค่อยคิดถึงเท่าไหร่ ส่วนผู้เป็นพ่อก็หมดห่วง จึงได้ให้บรรพชาเป็นสามเณรศึกษาเล่าเรียนทางธรรม พอโตเป็นหนุ่มก็ให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ท่านได้เลี้ยงดูเหมือนบุตรของท่านจริงๆ จนกระทั่งย้ายมาอยู่ (วัดโพนทอง) ตำบลเชียงงา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี

         "พระครูธรรมขันธ์สุนทร" หรือ (ม.ร.ว.เอี่ยม) วัดโพนทอง ลพบุรี บันทึกในจดหมายเหตุรายวันที่ (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาโรรส) วัดบวรนิเวศน์วิหาร ทรงเสด็จตรวจการณ์คณะสงฆ์ เมืองลพบุรี

          ความว่า วันที่ ๑๙ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๗ เวลาบ่ายโมง เสด็จถึงวัดโพนทอง มีพระสงฆ์และราษฎรมาคอยเฝ้ารับเสด็จ อยู่ที่วัดนี้เป็นจำนวนมาก ทรงพระราชดำเนิน ทอดพระเนตรภูมิสถานของวัดนี้ แล้วเสด็จขึ้นประทับบนกุฏิที่ (เจ้าอธิการเอี่ยม) เจ้าอาวาสวัดนี้จัดไว้เป็นที่ประทับแรม เจ้าอธิการเอี่ยมเป็นเจ้าคณะหมวดตำบลนี้ เป็นผู้มีอัธยาศัยกว้างขวาง ควบคุมชาวบ้านและชาวตลาดในตำบลนี้อยู่

         วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๗ ได้ประทานพัดตรามหาสมณุตมหาภิเษก และประทานตำแหน่งพระครูเจ้าคณะแขวงแด่ (พระอธิการเอี่ยม)  ทรงออกพระมหาสมณศาสน์โปรดให้เจ้าอธิการเอี่ยม วัดโพนทอง เป็นพระครูเจ้าคณะแขวง อำเภอสระโบสถ์ ที่  "พระครูธรรมขันธ์สุนทร" อีกทั้งตรัสชมเชยพระครูเอี่ยม วัดโพนทอง ว่าเป็นผู้รักษาวัดดี ทั้งมีความสามัคคีกับชาวบ้านทั่วถึงควรเป็นแบบอย่างอันดี

          วัตถุมงคลของท่าน ยุคแรกๆท่านไม่ค่อยสร้างวัตถุมงคลเท่าใดนัก ทราบเพียงจากคำบอกเล่าของชาวบ้านในสมัยนั้น "พระครูธรรมขันธ์สุนทร" (ม.ร.ว.เอี่ยม) ท่านได้นำเอา พระสมเด็จวัดระฆัง จาก "สมเด็จพุฒาจารย์" (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆัง มาเก็บรักษาบรรจุกรุไว้ที่วัดโพนทอง อ.บ้านหมี่ ในสมัยที่ท่านได้สร้างวัดโพนทองขึ้นมา ก่อนปี พ.ศ.๒๔๓๗ ไว้เป็นจำนวนมาก

          ต่อมา หลวงปู่เอี่ยม ท่านได้สร้างเหรียญที่ระลึก เหรียญรุ่นแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๑
เป็นเหรียญเสมารูปเหมือนหน้าตรงครึ่งองค์ ด้านบนเขียนว่า "ที่ระลึก" ด้านล่างเขียนว่า "ธรรมขันธ์" ด้านหลังเป็นยันต์ห้า ตรงกลางเป็นยันต์เฑาะว์อุณาโลม ด้านล่างระบุปี พ.ศ.๒๔๗๑

          (พระครูธรรมขันธ์สุนทร) องค์นี้ คนพื้นที่นับถือท่านมาก เรียกขานติดปากว่า "หลวงพ่อเฒ่า" สะท้อนความนับถืออย่างมากของชาวบ้าน เหรียญใดที่อยู่ในคอคนพื้นที่ ชาวบ้านต่างหวงแหนกันมาก ต่างก็มีประสบการณ์กันมากมาย นับไม่ถ้วน  ถือเป็นเหรียญเก่าเมืองลพบุรีอีกเหรียญที่น่าสะสมเป็นอย่างยิ่ง


ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปะวัติ หลวงพ่อกุน วัดพระนอน (เพชรบุรี)



        "พระครูสุชาตเมธาจารย์" (หลวงพ่อกุน) ท่านถือกำเนิดเมื่อ ปีวอก พ.ศ.๒๔๐๓  ที่บ้านหนองกาทอง ตำบลโรงเข้ จังหวัดเพชรบุรี (ไม่ทราบนามบิดา) โยมมารดาชื่อม่วง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน  ๕  คน  เป็นผู้ชายทั้งหมด

         ในวัยเยาว์ท่านมีนิสัยโน้มเอียงไปทางสมณะ  กล่าวคือชอบนั่งบนจอมปลวกแล้ว เทศน์ให้เพื่อนฟังและในเวลาต่อมาท่านก็ได้มาอยู่ (วัดวังบัว)  ซึ่งอยู่ห่างจากบ้าน ประมาณ  ๓  กิโลเมตร ต่อมาท่านก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่ (วัดวังบัว)

         ถึงปีพ.ศ.๒๔๒๓ เมื่อท่านอายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่ (วัดวังบัว)
(ไม่ทราบนามพระอุปัชฌาย์) ในขณะที่บวชเป็นพระใหม่ ท่านมีความอุตสาหะเป็นอย่างมาก ได้เดินทางไปศึกษาวิชากับ (อาจารย์แจ้ง) ทางวัดดอนไก่เตี้ย  และได้ศึกษาวิชาการที่ (วัดข่อย) ศึกษาทางช่างศิลป์กับ ท่าน (อาจารย์มุ่ย) วัดใหญ่สุวรรณาราม และคุณพ่อฤทธิ์ (หนังใหญ่) วัดพลับพลาชัย

         ในขณะนั้นท่านบวชอยู่ ๓ พรรษา ก็ได้ย้ายมาอยู่ วัดพระพุทธไสยาสน์ (วัดพระนอน)  สมัย "พระครูสุวรรณมุนี" เป็นเจ้าอาวาส ต่อมาได้เป็นสมุห์และเมื่อพระครูสุวรรณมุนี
มรณะภาพลง  ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธไสยาสน์ (พระนอน)

          ต่อมาได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่  "พระครูสุชาตเมธาจารย์"
ทุกพรรษาท่านจะขึ้นไปนั่งบำเพ็ญกัมฏฐานในถ้ำ ในวิหารเล็กประมาณ ๗ วัน  ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า ครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งเข้าที่ พระปลัดเทพ (พระครูสมณกิจพิศาล) เอาน้ำชามาถวายท่านรับไว้ พอเริ่มจะเข้าที่ ปรากฏเห็นเช่นนั้นอีก  ท่านว่าเหมือนของจริงทุกอย่าง พอเอื้อมมือจะรับนึกขึ้นได้ว่าเพิ่งมาถวายเมื่อ
สักครู่นี้ จึงไม่รับท่านว่าเกือบเสียท่า

          นอกจากนี้ท่านยังได้นำพระภิกษุในวัดออกธุดงค์ปีละหลายๆองค์  และออกอยู่หลายปี พระภิกษุที่ออกธุดงค์กับท่านจะไปด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าท่านจะไปทางเหนือหรือทางใต้  เป็นต้องมีพระภิกษุสมัครไปด้วยเสมอ

          หลวงพ่อกุนท่านยังได้สร้างตะกรุดแจกแก่ชาวบ้านและศิษย์อีกด้วย ตะกรุดของหลวงพ่อกุนนั้น กล่าวขานกันว่า ตำหรับทำตะกรุดนี้ จารึกไว้ในสมุดจีน ใบปกเขียว รูปที่เขียนเป็นเรื่องรามเกียรติ์  ตอนหนุมานถวายแหวน ขั้นตอนการทำนั้น ก็พิถีพิถันมากหลวงพ่อท่านใช้ฤกษ์ เสาร์ห้า เป็นฤกษ์ในการลงอักขระเลยยันต์และปลุกเสก  สถานที่ปลุกเสกท่านก็ไปปลุกเสกในป่าช้า เจ็ดป่าช้า  มีป่าช้า วัดพลับ, วัดแก่นเหล็ก, และวัดพระนอน  เป็นต้น

           หลังจากนั้นเมื่อถึงคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง หลวงพ่อท่านก็จะใช้ลูกสบ้ามอญ  ลบถูรอยเหล็กจารที่ท่านได้จารไว้ออก และพอถึงฤกษ์ เสาร์ห้า ก็กลับไปจารที่ป่าช้าอีก  ท่านทำเช่นนั้นจนครบ ๓ รอบ ท่านถึงจะนำออกมาแจกจ่ายแก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา พุทธคุณนั้นเหล่าเรื่องมหาเสน่ห์ก็ไม่แพ้พระขุนแผนสำนักไหนเลย

          ด้านตะกรุดโทน มงกุฎพระเจ้ายันต์ที่ท่านลงและปลุกเสกในตะกรุด  เรื่องมหาอุด  อยู่ยงคงกระพันก็เยี่ยม แต่สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อท่านสั่งทุกคนที่ได้ของท่านไปว่า  ขออย่างเดียวอย่าไปขโมยของเขา ถ้าไปขโมยของเขาก็จะใช้ไม่ขึ้น

         ในอดีตถ้ากล่าวถึงตะกรุดที่มีราคาแพงที่สุด คงหนีไม่พ้นตะกรุดของหลวงพ่อกุน วัดพระนอน ซึ่งเป็นตะกรุดสุดเข้มขลัง ตะกรุดมหาระงับ นารายณ์สะกดทัพ และอื่นๆ
อีกมากมายเรียกได้ว่านักเลงในสมัยก่อนยังนำตะกรุดของหลวงพ่อ ไปลองแขวนไว้ที่เสาบ้านใคร เป็นได้หลับไม่ตื่นกันทั้งบ้าน จะทำเสียงดังอย่างไรก็ไม่ตื่นกันเลย นั่นเพราะตะกรุดที่ท่านได้สร้าง ได้ลงอักขระไว้สะกดให้ทุกคนในบ้านหลับไม่ตื่นนั้นเอง เรื่องเสน่ห์ก็เป็นเยี่ยม

          สมัยก่อนของดีของหลวงพ่อกุนเลื่องลือมาก สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ปลัดเมืองเพชรบุรี ยังเคยมาขอของท่าน เพื่อไปคุ้มครองตัวเอง แต่ของดีของหลวงพ่อนั้นมีน้อยมาก เพราะกว่าท่านจะทำออกมาแต่ละอย่างใช้เวลามากขั้นตอนเยอะ และซับซ้อน ปัจจุบันนี้วัตถุมงคลของหลวงพ่อหาชมได้ยากมาก

หลวงพ่อกุน ท่านถึงแก่มรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๓ สิริอายุ ๖๐ ปี ๔๐ พรรษา


ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ

ประวัติ หลวงปู่ศรี วัดพระปรางค์ (สิงห์บุรี)



           "พระครูวิริยะโสภิต" (หลวงปู่ศรี วัดพระปรางค์) ท่านถือกำเนิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๐ ที่อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง (ไม่ทราบนามบิดามารดา)  ชีวิตของท่านในวัยหนุ่ม นิสัยนักเลง ไม่เคยยอมใครง่ายๆ และชอบศึกษาทางเวทมนต์คาถา

           ต่อมาเมื่อท่านอายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา (วัดโบสถ์) อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง โดยมี (พระอาจารย์มิน วัดโบสถ์) เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นได้ศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานจนเชี่ยวชาญ ต่อมาก็ได้มาจำพรรษาที่ (วัดพระปรางค์) อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี

            หลวงปู่ศรี ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ (หลวงพ่อไกร วัดใหญ่ท่าฉนวน) อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท และได้รับการถ่ายทอดพุทธาคมและวิชาต่างๆ จากพระอาจารย์ไกร มาอย่างหมดไส้หมดพุง นอกจากนี้ท่านยังศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานจนเชี่ยวชาญ

           หลวงปู่ศรี ท่านมีอุปนิสัยเป็นพระที่สำรวม เคร่งครัดในพระธรรมวินัยยิ่ง มีวัตรปฏิบัติเป็นที่น่าศรัทธาเลื่อมใสของผู้คนทั่วไป และท่านชอบให้ความเมตตา ความอุปการะแก่ผู้ยากไร้ทั่วไป เวลาว่างของท่านส่วนใหญ่ หมดไปกับการจารบทสวด และคัมภีร์ต่างๆ ตลอดจนพระปาติโมกข์เป็นอักขระภาษาขอม ซึ่งท่านมีความชำนาญเป็นพิเศษ

           หลวงปู่ศรี ท่านนี้จัดว่าเป็นพระเถรจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโดยแท้ มีเกจิหลายท่านไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนมากมาย อาทิ (หลวงพ่อหร่ำ วัดวังจิก) จังหวัดสุพรรณบุรี (หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม) ชัยนาท (หลวงพ่อทอง วัดพระปรางค์) จ.สิงห์บุรี (หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง) จ.สิงห์บุรี เป็นต้น

           วัตถุมงคลของหลวงปู่ศรีที่โด่งดังมากๆ คือ เชือกคาดเอว ตะกรุดมหาอุด สีผึ้งมหาเสน่ห์ น้ำมันมนต์ น้ำมนต์ แหวน และ เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก ที่สร้างขึ้นเพื่อแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่มาร่วมทำบุญสร้างศาลาวัดพระปรางค์ โดยพิธีกรรมการสร้างเหรียญของหลวงพ่อมีความพิถีพิถันมาก ท่านนำทองแดงมาลงอักขระเลขยันต์ก่อน แล้วนั่งปลุกเสก เมื่อเสร็จแล้วจึงนำไปหล่อหลอมรวมกับทองแดงที่จะปั๊มเป็นเหรียญ เมื่อปั๊มเป็นเหรียญเสร็จแล้วท่านก็จะนำมาปลุกเสกแบบเดี่ยวอีกรอบ สรุปแล้ว  วัตถุมงคลทุกชิ้นของท่านต้องดีทั้งนอกและใน

           หลวงปู่ศรี ท่านเป็นพระเถรจารย์ผู้แก่กล้าวิทยาคม มีตบะเดชะ วาจาศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จจินดามณีมนต์ สามารถทำนายวันมรณภาพได้อย่างแม่นยำราวกับตาเห็น ก่อนท่านมรณภาพท่านเคยสั่งเสียลูกศิษย์ทุกคนเอาไว้ชัดเจน พร้อมระบุวันละสังขารได้อย่างถูกต้องแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ แสดงให้เห็นถึงปาฏิหาริย์แห่ง "พระอภิญญา" ของท่าน อยู่ในความทรงจำของ ชาวสิงห์บุรีมาจนถึงปัจจุบัน

หลวงปู่ศรี ท่านถึงแก่มรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒ สิริอายุ ๗๒ ปี ๕๒ พรรษา



ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

ประวัติ พระอุปัชฌาย์ตัน วัดอู่ตะเภา (สระบุรี)



          (พระอุปัชฌาย์ตัน วัดอู่ตะเภา) ท่านถือกำเนิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๖  ในเขตอำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี (ไม่ทราบนามบิดามารดา) ต่อมาท่านก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ศึกษาอักษรภาษาร่วมสมัยที่ (วัดบ้านบก) แล้วย้ายไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ในจังหวัดกรุงเทพฯ

          ครั้นเมื่อท่านมีอายุครบบวช ต่อมาก็ได้อุปสมบทที่วัดในกรุงเทพฯ ได้ฉายาว่า "คนโธ" (ไม่ทราบนามพระอุปัชฌาย์) เมื่อถึงปี พ.ศ.๒๔๓๐ ท่านก็ได้ธุดงค์กลับมา ที่ภูมิลำเนาเดิมของท่าน ช่วงแรกท่านได้จำพรรษาที่ "วัดบ้านบก" ในขณะนั้น วัดบ้านบกได้ทรุดโทรมลงไปมาก และล้อมรอบไปด้วยบ้านเรือนอันดูไม่เงียบสงบนัก เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านและชาวบ้านจึงร่วมกันย้ายเสนาสนะมาสร้างใหม่ ในที่ดินของบิดามารดาท่าน ที่ได้ถวายให้ท่าน หลังจากได้สร้างขึ้นใหม่แล้วนั้น ก็ได้ตั้งชื่อใหม่ว่า (วัดอู่ตะเภาทอง)

          “วัดอู่สำเภาทอง” นี้ ตั้งอยู่บ้านหนองอู่สำเภา ตำบลม่วงหวาน อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี เป็นวัดเก่าแก่มีอายุ ๑๐๐ กว่าปี สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๑ สร้างโดย (พระอุปัชฌาย์ตัน) เป็นผู้นำในการก่อสร้าง วัดอู่ตะเภามีสิ่งบ่งบอกถึงความเก่าแก่ ของวัดไม่มากนัก มีพระอุโบสถ ผนังก่ออิฐถือปูน มีประตูเข้าด้านทิศตะวันออกด้านเดียว  หลังคามุงด้วยกระเบื้อง ไม่มีช่อฟ้าใบระกาหรือหางหงส์

          การก่อสร้างในสมัยนั้นเรียบง่าย ไม่มีลวดลายวิจิตรพิสดารแต่อย่างใด เพราะเป็นช่างชาวบ้านที่ช่วยกันตามศรัทธา มีกำแพงแก้วล้อมรอบ อุโบสถหลังนี้ตามจารึกที่ผนังบอกว่า ปฏิสังขรณ์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ แสดงถึงอายุของการก่อสร้างจริง พร้อมกับการตั้งวัดนี้ขึ้น นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ด้านหน้าอุโบสถ สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔ สร้างโดย (พระอุปัชฌาย์ตัน) เป็นผู้ดำรินำในการก่อสร้าง ธรรมาสน์ทำด้วยไม้สัก ที่มีลวดลายฉลุประดับเป็นลายเทพนม ลายเครือดอกพุดตาน  ในสมัยนั้นมีพระพุทธรูปประจำวัดอู่ตะเภา เดิมทีมีหลายองค์ แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่ไม่กี่องค์เพราะถูกขโมยไปเป็นจำนวนมาก

          พระอุปัชฌาย์ตัน ท่านยังเป็นพระสหธรรมิกกับ (หลวงพ่อยอด วัดหนองปลาหมอ) พระเกจิผู้เข้มขลังมากในสมัยนั้น และท่านยังเป็นพระอาจารย์ของ (หลวงพ่อผัน วัดแปดอาร์) อีกด้วย

          พระอุปัชฌาย์ตัน ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมายในสมัยนั้น ทั้งในเขตสระบุรี อยุธยา หรือจังหวัดใกล้เคียง มักจะนิมนต์ท่านให้เป็นพระอุปัชฌาย์อยู่บ่อยครั้ง ท่านใช้ม้าเป็นพาหนะ เดินทางไปบวชนาคให้แก่ลูกหลานชาวบ้านที่มานิมนต์ท่าน และด้วยบุคลิกสันทัดของท่าน ประกอบกับคุณความดีที่ท่านสร้างไว้มาก จึงเป็นที่ยำเกรงแก่คนทั่วไป

          หลวงพ่อ ท่านยังได้สร้างวัตถุมงคลไว้แก่ลูกศิษย์ มีเพียง ๓ รุ่น เท่านั้น โดยอาจารย์ปั้นซึ่งเป็นคู่สวด ได้เป็นผู้สร้างให้หลวงพ่อปลุกเสก รุ่นที่ ๑ เป็นเนื้อปรอทผสมกับทองแดง เป็นรูปพระประธาน รุ่นที่ ๒ เป็นพระปิดตา มีทั้งเนื้อเมฆพัดและเนื้อปรอทผสมทองแดง รุ่นที่ ๓ เป็นพระเนื้อผง แต่ท่านยังไม่ได้ปลุกเสก เนื่องจากท่านได้มรณภาพไปเสียก่อน

         การสร้างพระของท่าน ท่านสร้างพระจากเนื้อโลหะต่างๆ แล้วนำมาแทงด้วยตะไบให้เป็นผงเล็กๆ แล้วนำมาผสมกับปรอทที่ท่านไปดักมาจากในป่า  จากนั้นก็นำมากดใส่พิมพ์และฝังด้วยตะกรุดดอกเล็กๆ ที่ท่านลงไปปลุกเสกในน้ำหนึ่งวัน ตะกรุดนี้สร้างครั้งละห้าดอก แล้วให้ชาวบ้านลองยิง ถ้ายิงไม่ออกถือว่าไช้ได้ เมื่อกดพิมพ์เสร็จแล้ว ท่านจะนำพระที่ได้ไปนึ่ง เมื่อนึ่งเสร็จแล้วพระที่ได้ก็จะนำไปตากแดด เมื่อแห้งแล้วจึงนำไปปลุกเสกอีกครั้ง ถึงจะแจกชาวบ้านได้

        พิมพ์พระของท่านมีอยู่หลายพิมพ์แต่ที่นิยมมีอยู่ห้าพิมพ์ คือ
๑.พระพุทธชินราช
๒.พระพุทธใหญ่
๓.พระพุทธเล็ก
๔.พระปิดตาใหญ่
๕.พระปิดตาเล็ก

         พระเครื่องของพระอุปัชฌาย์ตันนั้น ผู้คนต่างเสาะแสวงหากันมาก หากผู้ใดมีต่างก็หวงแหนกันยิ่งนัก  ผู้ที่ใช้พระของท่านต่างทราบกันดีถึงพุทธคุณ ว่ามีอานุภาพเพียงใด ปัจจุบันพระเครื่องของท่านก็สนนราคากันสูง และหาชมยากมากด้วยเช่นกัน

หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ตัน ท่านถึงแก่มรณภาพลงเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๙ สิริอายุ ๗๓ ปี


ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ

ประวัติ หลวงปู่หม่น วัดคลองสิบสอง (ปทุมธานี)





        (หลวงปู่หม่น วัดคลองสิบสอง) ท่านถือกำเนิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๓๙๐
ที่อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี (ไม่ทราบนามบิดามารดา) ครอบครัวท่านมีอาชีพทำนา
ต่อมาบิดามารดาของท่าน ได้อพยพมาปักหลักทำมาหากิน ในเขตหนองจอก โดยมาอยู่ที่บ้านนาหม่อน ไม่ไกลจากวัดพระยาปลาเท่าใดนัก

        ในวัยเยาว์ท่านได้รับการศึกษาจนจบประถมปีที่ ๔ แล้วก็ออกจากโรงเรียน มาอยู่ช่วยบิดาทำนา จนกระทั่งเติบโตก็ได้แต่งงานมีภรรยาและมีลูกด้วยกัน ๒ คน เป็นบุตรชายชื่อเขียว และบุตรธิดาชื่อชง

         ต่อมาได้มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งอยู่ละแวก (วัดพระยาปลา) ตั้งใจจะออกบวช ก็ได้ไปขอฤกษ์กำหนดพิธีอุปสมบท จากนั้นทางบ้านก็จัดงานกันอย่างเอิกเกริก กลางคืนเตรียมทำขวัญนาค ในยามเช้าก็เตรียมจะทำการอุปสมบท อยู่ๆผู้เป็นนาคก็เกิดเสียชีวิตกระทันหัน เมื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเช่นนั้น  ทางบ้านนาคก็เกิดความสับสน เสียงส่วนใหญ่ก็ไม่อยากให้ล้มเลิกงานบวช ไหนๆก็ได้จัดงานแล้ว จึงตกลงกันหาคนบวชมาเป็นนาคแทนเสีย อีกประการหนึ่งก็จะเป็นการอุทิศให้กับผู้ตายด้วย

          ขณะนั้นเจ้าภาพงานบวชก็ได้รู้จักกับหลวงปู่หม่นอยู่แล้ว ทราบว่าท่านเอง ก็ยังไม่เคยบวช จึงมาขอให้ท่านเป็นนาคบวชแทนผู้ตาย เพื่อไม่ให้พิธีการที่เตรียมไว้เสียไป  ซึ่งหลวงปู่หม่นเอง ก็ตกลงยอมโกนหัวเข้าสู่พิธีทำขวัญนาค และอุปสมบทในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ท่านบวชนั้น ภรรยาของท่านได้เสียชีวิตไปไม่นาน ท่านได้ฝากลูกสองคน ไว้กับครอบครัว ให้ช่วยกันดูแลเลี้ยงแทนด้วย ซึ่งทางบ้านทุกคนก็เต็มใจด้วยดี    

          ในครั้งนั้นไม่มีใครคาดคิดเลยว่า “นายหม่น”  ผู้ที่ยอมโกนหัวบวชเป็นพระ แทนนาคผู้เสียชีวิตกระทันหัน จะลาการใช้ชีวิตทางโลกตราบชั่วอายุขัยของท่าน เลยเป็นการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อย่างถาวร (ไม่ทราบนามพระอุปัชฌาย์)

          หลังจากที่ท่านบวชแล้ว ก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดถึงพระบาลี คัมภีร์มูลกัจจายน์ ครั้นพอออกพรรษา ท่านมักออกธุดงควัตรปลีกวิเวก พอเข้าพรรษาบางปีก็กลับมาจำพรรษา ที่วัดพระยาปลา บางปีก็ธุดงค์จากถิ่นไปไกลๆ จำพรรษาที่อื่น  ส่วนใหญ่เล่ากันว่า ท่านจะธุดงค์ไปกับ (หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก) จังหวัดฉะเชิงเทรา  บางครั้งก็จะธุดงค์องค์เดียว ในช่วงระหว่างที่ธุดงค์ท่านจะบำเพ็ญศีลภาวนา อย่างเคร่งครัด หากท่านพบพระอาจารย์ท่านใดก็จะขอร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆ  ซึ่งพระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ จะไปได้วิชาอาคมจากการเดินธุดงค์ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างธุดงค์ก็ว่าได้   “หลวงปู่หม่น” ท่านเดินธุดงค์ไปทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน บางครั้งก็เข้าไปถึง ประเทศเขมร พบพระอาจารย์ระหว่างทางที่ไหนก็ขอเรียนวิชานำติดตัวกลับมา

          “วัดพระยาปลา”  หรือวัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์นั้น สมัยก่อนเคยขึ้นไปอยู่ กับจังหวัดฉะเชิงเทรา ราวปี พ.ศ.๒๔๗๐ ต่อมา พ.ศ.๒๔๗๒ ก็โอนกลับมาขึ้นอยู่ กรุงเทพฯ ตามเดิม  “วัดพระยาปลา” นั้น ชาวบ้านสมัยก่อนมักเรียก “วัดคลองสิบสอง” ชื่อจริงตามราชการคือ “วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์” สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๓ โดยมี “อำแดงผึ้ง” เศรษฐีนีย่านหนองจอกอุทิศที่ดินบริเวณคลอง ๑๒ จำนวน ๑๐ ไร่ ให้เป็นที่สร้างวัดขึ้นมา  เมื่อสร้างวัดเสร็จก็ตั้งชื่อว่า “วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์” โอนที่ดินให้เป็นสมบัติของวัดอย่างถูกต้องเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๕ ปรากฏหลักฐานไว้ ตามโฉนดที่ดินของวัด

          “วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์” คือชื่อวัดสมัยที่ก่อตั้งแล้ว แต่ต่อๆมา ชื่อเรียกขานก็เปลี่ยนไป ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากบริเวณที่ตั้งวัดนั้น เป็นปากบึงมีปลาชุกชุมมาก  ขณะที่ชาวบ้านมาช่วยกันขุดดินถมดินที่ให้เป็นโคกเพื่อสร้างวัดนั้น   มีคนไปเจอปลาดุกเผือกตัวใหญ่มากผู้คนเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด   เพราะปลาดุกเผือกตัวใหญ่ยักษ์หาไม่ง่ายนัก จึงถือเอาเหตุการณ์นั้นเรียกเป็นนามวัด แบบรู้ๆกันว่า “วัดพระยาปลา” คือปลาดุกเผือกตัวใหญ่  
 
          ครั้งหนึ่งใสมัยที่มีพระสงฆ์จำพรรษาแรกๆ ชื่อวัดกำหนดเรียกว่า “วัดนารีประดิษฐ์” ในปี พ.ศ.๒๔๕๐ “หลวงปู่หม่น” เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด ครั้งนั้น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส” เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็น “สมเด็จพระสังฆราช” ได้ทรงเสด็จไปตามลำน้ำต่างๆ ค่ำไหนพักที่นั่น บังเอิญไปพักที่วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์ พอวันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็จัดทำอาหารไปถวาย  อาหารที่ถวายส่วนใหญ่มีปลาเป็นหลัก เช่น แกงปลา ปลาทอด ปลานั้นล้วนแต่ตัวใหญ่ๆ ทั้งสิ้น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส” ท่านดำรัสว่า “แหมวัดนี้มีปลาใหญ่ๆ น่าจะชื่อวัดพระยาปลา”  ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงพากันเรียก “วัดพระยาปลา” มาตลอดจนติดปากจนพักหลังๆ แทบจะไม่มีใครรู้จักชื่อ “วัดนารีราษฎร์ประดิษฐ์” กันเลย

           เมื่อครั้งที่สร้างวัดเสร็จใหม่ๆ “อำแดงผึ้ง” พร้อมด้วยชาวบ้านจำนวนหนึ่งได้ไปนิมนต์ “พระอาจารย์ทองสุข” วัดแสนเกษม  คลอง ๑๓ หนองจอก มาเป็นเจ้าอาวาส ถือว่าเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัด “พระอาจารย์ทองสุข” อยู่ได้ไม่นานก็ออกธุดงค์จากวัดไป “อำแดงผึ้ง” พร้อมกับชาวบ้านจึงไปนิมนต์  “หลวงปู่เนียม”  จากกรุงเทพฯ มาเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ ๒ แล้วหลวงปู่เนียม ท่านก็ธุดงค์ออกจากวัดไปอีกรูปหนึ่ง  ขณะที่หลวงปู่เนียมมาเป็นเจ้าอาวาส อยู่ที่วัดพระยาปลานั้น หลวงปู่หม่นท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดพระยาปลาแล้ว  ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชาการ ทำพระหนังจากหลวงปู่เนียมด้วย  ครั้นเมื่อหลวงปู่เนียมจากไป ชาวบ้านก็นิมนต์หลวงปู่หม่น ให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ปกครองวัดพระยาปลา เป็นรูปที่ ๓

          สำหรับวิชาการทำ “พระหนัง” นั้น ทราบว่าพระอาจารย์ที่สอนท่านทำก็คือ  “หลวงปู่เนียม” เจ้าอาวาสวัดพระยาปลาองค์ก่อน  “หลวงปู่เนียม” องค์นี้ เก่งในเรื่องการทำพระหนังยิ่งนัก และพระหนังของท่านก็เลื่องลือมาก ในเรื่องของความอยู่ยงคงกระพัน  จัดเป็นปรมาจารย์พระหนัง ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้า ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดพระยาปลา ได้เพียง ๒ ปี ก็ออกธุดงค์จากวัดไป ไม่ทราบว่าท่าน ไปไหน กระทั่ง “หลวงปู่หม่น” เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสปกครองวัดแทน เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๘  ภายหลังที่ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด กิจธุดงค์ท่านก็ละเว้นลง เพราะมีภาระกิจทางคันถธุระมากขึ้น และต่อมาท่านก็ได้เป็นพระอุปัชฌาย์
 
          หลังจากที่หลวงปู่หม่นเป็นเจ้าอาวาส  ท่านก็อยู่ทำนุบำรุงวัด ก่อสร้างบูรณะเสนาสนะต่างๆให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น ในยุคนั้นชาวบ้านย่านคลอง ๑๒ หนองจอก มีนบุรี และลำลูกกา ต่างให้ความเคารพศรัทธาท่านมาก และยกย่องว่าท่าน เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาอาคมแก่กล้ายิ่งนัก ในย่านนั้นไม่มีใครมีชื่อเสียงโด่งดังเท่า “หลวงปู่หม่น” เลย  
       
          “หลวงปู่หม่น” ท่านได้สร้างพระหนังขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายกับชาวบ้าน ในยุคแรก ท่านใช้หนัง หน้าผากควายเผือกนำมาทำเป็นพระ  และควายเผือกที่จะเอาหนังมาทำพระนั้น  ถือเคล็ดอีกว่าจะต้องเป็นควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตายเท่านั้น  ควายตายอย่างอื่นใช้ไม่ได้  และเมื่อได้ควายเผือกถูกฟ้าผ่าตายมาแล้ว  ก็จะต้องใช้หนังที่หน้าผากควาย หรือตรง “กบาลควาย” เท่านั้น  เป็นข้อจำกัดในการทำพระหนังให้สุดยอด เปี่ยมด้วยพุทธคุณ ตรงตำรับตำราโดยแท้  
         
          เมื่อท่านทำพระหนังออกมา ก็นำมาแจกจ่ายให้ชาวบ้านและลูกศิษย์ ใหม่ๆก็ไม่มีใครให้ความสนใจมากนัก หลวงปู่ท่านมักจะแจกให้ลูกหลานเด็กๆ คล้องคอกัน ท่านบอกว่าเอาไว้ป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอ  ซึ่งต่อมามีผู้เห็นพุทธคุณอิทธิปาฏิหาริย์ ในพระหนังมากขึ้นก็ไปขอพระหนังจากท่าน  เมื่อพระหนังท่านหมดท่านก็ทำออกมาใหม่

          พระหนังหลวงปู่หม่น  มักแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ผู้คนประจักษ์มากขึ้น ในเรื่องของคงกระพันชาตรี  ป้องกันงูพิษขบกัดวิเศษยิ่ง  เมื่อพระหนังมีชื่อเสียง ได้รับความนิยมมาก  แต่การทำมีข้อจำกัด นั่นก็คือต้องเอาหนังจากกบาลควายเผือก ที่ถูกฟ้าผ่าตายเท่านั้น  ทำให้การทำพระออกแจกจ่ายไม่ทันกับความต้องการ  ระยะหลังท่านจึงลดข้อจำกัดลง โดยใช้เพียงหนังควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตายทั้งตัว เอามาทำเป็นพระหนัง  ทำให้มีพระหนัง ออกมาให้ผู้ศรัทธามากขึ้น  

          สำหรับควายที่ถูกฟ้าผ่าตายนั้น สมัยก่อนหาไม่ยากยิ่งย่านทุ่งหนองจอกด้วยแล้ว  พื้นที่ทั้งหมดเป็นท้องนามีต้นตาลสูงขึ้นทั่วๆไป เวลาหน้าฝนมักเกิดฟ้าผ่าควายตายประจำ ควายถูกฟ้าผ่าตายจึงมีมากแต่ควายเผือกถูกฟ้าผ่าตายมีน้อยมาก ถ้าที่ไหนควายเผือกถูกฟ้าผ่าตาย  ชาวบ้านมักจะรีบมาบอกหลวงปู่ ซึ่งท่านก็จะรับซื้อไว้ แล้วให้ชาวบ้านแล่เอาหนังควายไปให้ท่านเพื่อจัดสร้างพระ

         วิธีการทำพระหนังของท่าน เมื่อท่านได้หนังควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตายมาแล้ว ขั้นตอนแรกท่านก็เอาหนังมาแช่น้ำให้นิ่ม  ต่อจากนั้นก็นำแบบพิมพ์ที่ทำเป็นบล็อค รูปองค์พระขอบเป็นใบมีดโกน  นำมากดทับแผ่นหนังใช้ไม้ไผ่ตอกปั๊มให้หนังเป็นร่องลึก ตามแบบขอบใบมีดโกน จะตัดหนังเป็นสี่เหลี่ยมองค์พระตรงกลางจะได้รูปร่องลึก เป็นองค์พระประทับติดกับหนัง

          จากนั้นท่านก็เอาองค์พระหนังไปตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเป็นอันขาด  ถ้าโดนแดดหนังจะหดตัวแทบมองไม่เห็นร่องรอยองค์พระเลย  ต้องผึ่งลมให้แห้งสนิทเป็นอันใช้ได้  ลักษณะของพระหนังรูปทรงเป็นพระสมเด็จ นั่งสมาธิขัดเพชร  มีอักขระขอมกำกับอยู่ด้านข้างองค์พระทั้งสองด้าน  ด้านหลังเรียบ รุ่นแรกนั้นลงอักขระขอมด้านหน้าว่า “ตะ” ด้านหลังลงว่า “โจ” ส่วนรุ่นหลังๆ จะเรียบไม่มีอักขระ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบพิมพ์ที่ใช้กดซึ่งทำออกมาแต่ละชุดจะไม่เหมือนกัน  บางองค์หลวงปู่ก็ลงจารอักขระขอม  บางองค์ก็ไม่ได้ลงจาร
         
          หลังจากทำพระหนังเสร็จหลวงปู่หม่นจะปลุกเสกเดี่ยว แล้วก็นำออกแจกจ่ายกันช่วงเข้าพรรษา  พอออกพรรษาปีไหนไปธุดงค์ ท่านก็จะนำพระติดตัวไปแจกจ่ายชาวบ้านทั่วไป จนกระทั่งพระหนังหลวงปู่หม่น มีผู้ได้รับประสบการณ์มากมายจนชื่อเสียงโด่งดังระบือลือลั่น

          พุทธคุณพระสมเด็จพระหนังควายเผือกหลวงปู่หม่นนั้น มีชื่อเสียงมากในเรื่องของการป้องกันและ “คงกระพันชาตรี” เรื่องการป้องกันนั้น ไม่ว่าจะป้องกันจากสัตว์ร้ายขบกัดแล้วยังป้องกันคุณไสยต่างๆ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย

          ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านย่านคลอง ๑๒ ห้อยพระหนังหลวงปู่หม่นเข้าป่าลึก  กลับออกมาผู้ที่ไม่มีพระหนังห้อยคอเป็นไข้ป่ากันทุกคน พระหนังหลวงปู่หม่นนี้ ชาวบ้านให้ความเลื่อมใสกันมาก เวลาลงนาเกี่ยวข้าวมักพกพาห้อยคอไปด้วย จะแคล้วคลาดจากการถูกงูกัดทุกราย แม้เด็กเล็กๆ ก็ไม่มีใครโดนงูกัดเลย  ถ้าห้อยพระหนังหลวงปู่หม่นติดตัวไว้  ลูกเล็กเด็กแดงห้อยพระหนังแล้วจะเลี้ยงง่าย ไม่เจ็บไม่ไข้ได้ป่วย นำพระหนังมาแช่น้ำอาราธนาอธิษฐานจิตถึงหลวงปู่หม่นแล้วดื่ม น้ำจะช่วยรักษาไข้จับสั่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

          พุทธคุณทางด้านอยู่ยงคงกระพันก็เป็นเลิศ  มีคนโดนฟันเต็มๆ มีดไม่ระคายผิวเล่นเอาตะลึงทั้งงานวัด  นักเลงย่านลำลูกกามีเรื่องทะเลาะวิวาทกันในงานวัด  อีกพวกหนึ่งชักปืนจ่อยิงคู่อริระยะเผาขน นกสับไกปืนแต่กระสุนไม่ลั่น สับซ้ำหลายครั้งก็ไม่ได้ผล  พอยกยิงขึ้นฟ้าปืนลั่นสนั่นงาน เล่นเอาบรรดานักเลงสมัยนั้น ต้องหาพระหนังมาเป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภัยให้กับตนเอง

         สมัยนั้นชื่อเสียงของหลวงปู่หม่นท่านจึงดังกระฉ่อนมาก  พระหนังของท่านในภายหลัง (พระอธิการแป้น) เจ้าอาวาสองค์ต่อมาทำอีกรุ่น ลักษณะพระจะคมชัดกว่า พระของหลวงปู่หม่น องค์พระจะเคลือบแล็คเกอร์ป้องกันการหดตัว ซึ่งยังพอหาดูกันได้แถวละแวกวัดพระยาปลา

          พระหนังหลวงปู่หม่นในปัจจุบันจะหาองค์สวยๆ ไม่ได้เลย  เหตุเพราะว่ากาลเวลา ทำให้องค์พระหนังเกิดการหดตัว  พระหนังบางองค์มององค์พระลบเลือน บางองค์แทบไม่เห็นองค์พระเลย ให้สังเกตจากความแห้งเก่าของหนังเท่านั้น

          หลวงปู่หม่น  ผู้สร้างตำนานพระหนังควายเผือกแห่งท้องทุ่งหนองจอกจนลือลั่น แม้ปัจจุบันท่านจะละสังขารไปนานแล้วก็ตาม แต่เมื่อเอ่ยถึงพระหนังทุกคนต้องยกให้ว่า พระหนังของหลวงปู่หม่นนั้นเป็นสุดยอดวัตถุมงคล แห่งทุ่งหนองจอกอย่างแท้จริง

 หลวงปู่หม่น ท่านถึงแก่มรณะภาพลงเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๓ สิริอายุได้ ๘๓ ปี


ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ